∵~★. เมื่อความรักร้องเรียกเธอ
จงตามมันไป แม้ว่าทางของมันนั้น
จะขรุขระและชันเพียงไร
และเมื่อปีกของมันโอบกายเธอ
จงยอมทน..แม้ว่าหนามแหลมอันซ่อนอยู่ในปีกนั้นเสียดแทงเธอ
และเมื่อมันพูดกับเธอ จงเชื่อตาม
แม้ว่าเสียงของมันจะทำลายความฝันของเธอ...ดังลมเหนือพัดกระหน่ำสวนดอกไม้ให้แหลกราญไปฉะนั้น .★~∵
∵~★.ความรักจะรวบรวมเธอเข้าดังฝักข้าวโพด...มันจะแกะเธอออกจนเปลือยเปล่า และ มันจะร่อนเพื่อให้เธอหลุดจากเปลือก....มันจะบดเธอเป็นผงขาว
แล้วก็ขยำเธอจนอ่อนเปียก .★~∵
∵~★.ความรักไม่ใช่สิ่งอื่นใดนอกจากตนเอง และ ไม่รับเอาสิ่งใด นอกจากตนเอง...ความรักไม่ครอบครอง และไม่ยอมถูกครอบครอง
เพราะความรักนั้นพอเพียงแล้วสำหรับตอบความรัก .★~∵
∵~★.ความรักไม่มีความปรารถนาสิ่งอื่นใด...นอกจากที่จะทำตนเองให้สมบูรณ์...แต่ถ้าหากเธอรัก และจำต้องมีความปรารถนา
ก็ขอให้ความปรารถนาของเธอจงเป็นดังนี้..เพื่อจะละลายและไหลดังธารน้ำ
ซึ่งส่งเสียงเพลงกล่อมราตรี
เพื่อจะเรียนรู้ความปวดร้าว
อันเกิดแต่ความอ่อนโยนละมุนละไมเกินไป...เพื่อจะต้องบาดเจ็บ
ด้วยความเข้าใจในความรักของตนเอง
และเพื่อจะยอมให้เลือดหลั่งไหล
ด้วยความเต็มใจและปราโมทย์
เพื่อจะตื่นขึ้นในอรุณรุ่ง
ด้วยดวงจิตปิติและขอบคุณความรักอีกวันหนึ่ง ..
เพื่อจะหยุดพัก ณ ยามเที่ยง
และเพ่งพินิจความสุขซาบซึ้ง ของความรัก...เพื่อจะกลับบ้าน ณ ยามพลบค่ำ
ด้วยความรู้สึกสำนึกบุญคุณ
และเพื่อจะหลับไปพร้อมกับคำสวดมนต์ภาวนา..สำหรับคนรักในดวงใจ และเพลงสรรเสริญบนริมฝีปากเธอ .★~∵
∵~★.จงเติมถ้วยของกันและกัน แต่อย่าดื่มจากถ้วยเดียวกัน..
จงให้ขนมปังแก่กัน แต่อย่ากินจากก้อนเดียวกัน...
จงร้องและเริงรำด้วยกัน และจงมีความบันเทิง...
แต่ขอให้แต่ละคน มีโอกาสในการอยู่โดดเดี่ยว..ดังเช่นสายพิณนั้น ต่างอยู่โดดเดี่ยว
แต่ว่าสั่นสะเทือนด้วยทำนองดนตรีเดียวกัน
จงมอบดวงใจ แต่มิใช่ต่ออีกฝ่ายหนึ่ง
เพราะหัตถ์แห่งชีวิตอมตะเท่านั้น
ที่จะรับดวงใจของเธอไว้ได้
และจงยืนอยู่ด้วยกัน แต่อย่าใกล้กันมากนัก เพราะว่าเสาของวิหาร ก็ยืนอยู่ห่างกัน และต้นโพธิ์ ต้นไทร ก็ไม่อาจเติบโตใต้ร่มเงาของกันได้ .★~∵
และเพ่งพินิจความสุขซาบซึ้ง ของความรัก...เพื่อจะกลับบ้าน ณ ยามพลบค่ำ
ด้วยความรู้สึกสำนึกบุญคุณ
และเพื่อจะหลับไปพร้อมกับคำสวดมนต์ภาวนา..สำหรับคนรักในดวงใจ และเพลงสรรเสริญบนริมฝีปากเธอ .★~∵
∵~★.จงเติมถ้วยของกันและกัน แต่อย่าดื่มจากถ้วยเดียวกัน..
จงให้ขนมปังแก่กัน แต่อย่ากินจากก้อนเดียวกัน...
จงร้องและเริงรำด้วยกัน และจงมีความบันเทิง...
แต่ขอให้แต่ละคน มีโอกาสในการอยู่โดดเดี่ยว..ดังเช่นสายพิณนั้น ต่างอยู่โดดเดี่ยว
แต่ว่าสั่นสะเทือนด้วยทำนองดนตรีเดียวกัน
จงมอบดวงใจ แต่มิใช่ต่ออีกฝ่ายหนึ่ง
เพราะหัตถ์แห่งชีวิตอมตะเท่านั้น
ที่จะรับดวงใจของเธอไว้ได้
และจงยืนอยู่ด้วยกัน แต่อย่าใกล้กันมากนัก เพราะว่าเสาของวิหาร ก็ยืนอยู่ห่างกัน และต้นโพธิ์ ต้นไทร ก็ไม่อาจเติบโตใต้ร่มเงาของกันได้ .★~∵
∵~★.ความรักไม่รู้ความล้ำลึกของตนเอง..จนกว่าจะถึงชั่วโมงของการจากพราก.★~∵
คาลิล ยิบราน KHALIL GIBRAN
คา ลิล ยิบราน เกิดที่ Bechari ประเทศเลบานอน ในปี ค.ศ.๑๘๘๓ ตายที่นิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา ในปี ค.ศ. ๑๙๓๑ เป็นกวี นักเขียน และศิลปินที่ได้รับสมญานามว่า "วิลเลียมเบลคแห่งศตวรรษที่ ๒๐" บิดามารดาของยิบรานเป็นผู้มีการศึกษาและวัฒนธรรมดี ตระกูลทางมารดาได้ชื่อว่าเก่งดนตรีที่สุดในหมู่ บ้าน ยิบรานได้แสดงฝีมือทางวาดเขียน ก่อสร้าง ปั้น และแต่เรียงความมาตั้งแต่เยาว์วัย เมื่ออายุ ๘ ปีก็สนใจและเข้าใจซาบซึ้งในงานของไมเคิล แอนเยลโลและเลโอนารโดดารวินชิ ในปี ๑๘๙๕ ครอบครัวของเขาได้เดินทางไปตั้งรกรากยังสหรัฐอเมริกา
แต่เมื่ออายุได้สิบสี่ปีครึ่ง ยิบรานก็เดินทางกลับมายังเลบานอน และเข้าเรียนในสถานศึกษาภาษาอาหรับของซีเรีย ต่อมาเขาได้เดินทางไปศึกษาศิลปะกับโรแดง ( Rodin) ปฏิมากรชาวฝรั่งเศสที่ Ecole des Beaux Arts ในกรุงปารีส ในปี ค.ศ. ๑๙๑๒ ยิบรานเดินทางไปยังสหรัฐอเมริกาและพำนักอยู่ในกรุงนิวยอร์ค และที่นั่นเอง เขาก็ได้ริเริ่มก่อตั้งสมาคมนักเขียนชาวอาหรับ (Arabic P.E.N. Club) และได้เป็นนายกของสมาคมด้วย
งานประพันธ์ของยิบรานได้มีอิทธิพลจูงใจคนรุ่นหลังมาก ทั้งผู้ใช้ภาษาอาเรบิคในประเทศอาหรับและในอเมริกา ตลอดทั้งยุโรป เอเชีย ตั้งแต่ประเทศจีนถึงสเปน งานชิ้นแรกๆ ของยิบราน เป็นบทเขียนและบทกวีภาษาอาหรับ งานเหล่านั้นแสดงทัศนะเห็นแจ้งในธรรมะ ความงดงามในท่วงทำนอง และ แนวใหม่ที่จะเข้าแก้ปัญหาของชีวิต ยิบรานเริ่มใช้ภาษาอังกฤษในการเขียนของเขาตั้งแต่อายุยังไม่ถึงยี่สิบปี งานชิ้นที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขาคือ ชิ้นที่ชื่อ
"THE PROPHET" ซึ่งกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกัน งานชิ้นนี้ได้ถูกแปลถ่ายทอดเป็นภาษาต่างๆ ไม่น้อยกว่าสิบสามภาษา อ่านกันแพร่ หลายอย่างยิ่งทั่วโลก ยิบรานได้บรรจุหลักสัจธรรมไว้ด้วยสำนวนกวีอ่านง่ายแต่ไพเราะ เข้าถึงชนทุกชั้น นับเป็นทั้งบทกวี ปรัชญาและธรรมะ พร้อมกันไปในตัว
บุคคลในหลายเชื้อชาติและต่างลัทธิศาสนาจำนวนมากได้ยึดถือเอาคำสอนในงานชิ้น นี้เป็นเสมือนประทีป นำแนวทางแห่งการดำรงชีวิต ทั้งนี้เพราะสัจธรรม นั้นเป็นของกลาง แม้ว่าจะกล่าวออกมาในเปลือกหุ้มใดๆ ก็มีธรรมชาติอันแท้เป็นสมบัติของมนุษย์ทั่วไปไม่ว่าชาติ ภาษา หรือลัทธิใด ศาสนาใด
บุคคลในหลายเชื้อชาติและต่างลัทธิศาสนาจำนวนมากได้ยึดถือเอาคำสอนในงานชิ้น นี้เป็นเสมือนประทีป นำแนวทางแห่งการดำรงชีวิต ทั้งนี้เพราะสัจธรรม นั้นเป็นของกลาง แม้ว่าจะกล่าวออกมาในเปลือกหุ้มใดๆ ก็มีธรรมชาติอันแท้เป็นสมบัติของมนุษย์ทั่วไปไม่ว่าชาติ ภาษา หรือลัทธิใด ศาสนาใด
ระวี ภาวิไล
มีนาคม ๒๕๐๔